วันอาทิตย์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2555

การใช้ How much และ How many



การใช้ How much และ How many


How Much   ใช้ขยายคำนามที่นับไม่ได้ นิยมใช้ในประโยคปฏิเสธ ประโยคคำถามและหลังคำ  How, too, so, as เช่น

      How much tea have you?

      He has not much sugar.

      He drinks so much beer that he gets fatter.    

How Many ใช้ขยายคำนามที่นับได้ พหูพจน์ นิยมใช้ในประโยชน์ปฏิเสธ และประโยคคำถามและหลังคำ how, too, so,as เช่น

      How many pencils have you?

      He has not many books.

      I have as many pencils as you.

      He drank too many glasses of wine.  


การใช้ How much, How many  ในประโยคบอกเล่า

1. ใช้กับคำว่า  how เช่น

    I know how much money he has.

    I know how many book he has.  

2. ใช้กับคำว่า so เช่น

    She has so much money that she is not happy.

    I have so many friends that I can't remember all their names.

3. ใช้กับคำว่า very เช่น

    In the last examination, very many students failed.

     Very much rice was spoiled by a new kind of insect.

4. ใช้กับคำว่า too เช่น

    She ate too many apples.

    I have too much work to finish in time.

5. ใช้นำหน้าประโยคบอกเล่า เช่น
     Many people go to the beach every summer.

     Much of what you say is not true.


มาลองฟังและดูการใช้ How much & How many กันคร้า







วันพุธที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2555

Compound Sentences

 Compound  Sentences  




Compound sentence (อเนกัตถประโยค)


COMPOUND SENTENCE
A compound sentence contains two independent clauses joined by a coordinator. The coordinators are as follows: for, and, nor, but, or, yet, so. (Helpful hint: The first letter of each of the coordinators spells FANBOYS.) Except for very short sentences, coordinators are always preceded by a comma. In the following compound sentences, subjects are in yellow, verbs are in green, and the coordinators and the commas that precede them are in red. 

A.  I tried to speak Spanish, and my friend tried to speak English. 
B.  Alejandro played football, so Maria went shopping. 
C.  Alejandro played football, for Maria went shopping.
The above three sentences are compound sentences.  Each sentence contains two independent clauses, and they are joined by a coordinator with a comma preceding it.  Note how the conscious use of coordinators can change the relationship between the clauses.  Sentences B and C, for example, are identical except for the coordinators.  In sentence B, which action occurred first?  Obviously, "Alejandro played football" first, and as a consequence, "Maria went shopping.  In sentence C, "Maria went shopping" first.  In sentence C, "Alejandro played football" because, possibly, he didn't have anything else to do, for or because "Maria went shopping."  How can the use of other coordinators change the relationship between the two clauses?  What implications would the use of "yet" or "but" have on the meaning of the sentence?
Compound   Sentence  แปลว่า  ประโยคความรวมหรืออเนกัตถประโยค  หมายถึง  ประโยคที่มีข้อความ  2  ข้อความมารวมกัน  พูดง่าย ๆ คือ  ประโยคความเดียว 2 ประโยคมารวมกัน แล้วเชื่อมด้วย co-ordinate  conjunction (ตัวเชื่อมประสาน)  ได้แก่ and, or, but, so, still, yet, etc.  และ  conjunctive adverb (คำวิเศษณ์เชื่อม) ได้แก่  however, meanwhile, therefore, otherwise, thus, etc.
 2.1 Compound  Sentence ( ประโยคความรวม หรืออเนกัตถประโยค) ที่เชื่อมด้วย  co-ordinate conjunction (ตัวเชื่อมประสาน)  ได้แก่  and, or, but, so, still, yet, etc.
ตัวอย่างเช่น
            - Venerable  Tawan  can  speak  English  and  he  can  speak  Loa.
            ท่านตะวันสามารถพูดภาษาอังกฤษและสามารถพูดภาษาลาวได้
            - Phramaha  Charoen  does  not  study  Loa  yet  he  can  speak it.
            พระมหาเจริญไม่ได้ศึกษาภาษาลาวถึงกระนั้นเขาก็สามารถพูดภาษาลาวได้
ฯลฯ
            2.2 Compound  Sentence (ประโยคความรวม หรืออเนกัตถประโยค)  ที่เชื่อมด้วย conjunctive adverb (คำวิเศษณ์เชื่อม) ได้แก่  however, meanwhile, therefore, otherwise, thus, hence, nevertheless, etc.
ตัวอย่างเช่น
- Venerable  Prakorng  was  ill, thus  he  went  to  see  a  doctor  at  a  hospital.
ท่านประคองป่วยดังนั้นเขาจึงไปหาหมอที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง
- Jess  comes  to  see  me at  a  temple, meanwhile  I  teach  her  Buddhism.
 เจสมาหาผมที่วัดระหว่างนั้นผมก็สอนพระพุทธศาสนาให้เธอด้วย
ฯลฯ
หมายเหตุ :  จากตัวอย่าง  จะเห็นได้ว่า Compound  Sentence  เกิดมาจาก  Simple  Sentence  2 ประโยคมารวมกัน   แล้วคั่นกลางประโยคทั้งสองด้วย    co-ordinate  conjunction (ตัวเชื่อมประสาน) และ  conjunctive  adverb  (คำวิเศษณ์เชื่อม) 
                                                
การใช้ตัวเชื่อม
1. การใช้ Co-ordinate conjunction Co-ordinate conjunction มี 7 ตัว คือ and,  or,  nor,  but,  so,  for,  yet                        

1. and ใช้เชื่อมประโยคที่มีความหมายคล้อยตามกันหรือการเพิ่มเติมความคิด 
เช่น Yotsak had an accident last week. He has not come to school for 2 weeks.                    
 - Yotsak had an accident last week, and he has not come to school for 2 weeks.                                                             

2. or ใช้เชื่อมประโยคที่ให้เลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง
เช่น You will do these homeworks. You will be punished.  
-You will do these homeworks, or you will be punished.                                                                                             

3. nor ใช้เชื่อมประโยคที่มีความหมายคล้อยตามกันและเป็นประโยคปฏิเสธ              
 เช่น Dad is always busy. Mom does not have much free time.
- Dad is always busy, nor does Mom have much free time.                                                                                              

4. but ใช้เชื่อมประโยคที่มีความหมายขัดแย้งกัน   
เช่น Satit was very angry with Ratree.He listened to her patiently.  
- Satit was very angry with Ratree, but he listened to her patiently.                                                                             

5. so ใช้เชื่อมประโยคที่เป็นเหตุเป็นผลกัน โดยที่ประโยคหน้า so จะเป็นเหตุ                                                               
เช่น Komson felt his room was too cold. He spoke to the landlord about the heater.                                                               
- Komson felt his room was too cold, so he spoke to the landlord about the heater.                                                              

6. for ใช้เชื่อมประโยคที่เป็นเหตุเป็นผลกัน โดยที่ประโยคหน้า for จะเป็นผล                                                                                 
เช่น Sangduen has not come to school for a month. She has problems in her life.                                                                     
- Sangduen has not come to school for a month, for she has problems in her life. 

7. yet ใช้เชื่อมประโยคที่มีความหมายขัดแย้งกันเหมือน but                                                                                          
เช่น Krissana studied hard in summer.He failed the exam.                                                                                                    
- Krissana studied hard in summer,yet he failed the exam.




Complex Sentence


Complex Sentence (สังกรประโยค)

3.Complex Sentence  แปลว่า “สังกรประโยค” หมายถึงประโยคใหญ่ที่ประกอบขึ้นมาจากประโยค เล็กๆ 2 ประโยค ซึ่งในจำนวน 2 ประโยคนี้มีความสำคัญไม่เท่ากันนั่นคือประโยคหนึ่งเรียกว่า Main Clause (มุขยประโยค) ทำหน้าที่เป็นประโยคหลักหรือประโยคใหญ่ส่วนอีกประโยคหนึ่งเรียกว่า Subordinate Clause (อนุประโยค) เป็นประโยคที่ต้องอาศัยประโยคที่ต้องอาศัยประโยค Main Clause
จึงจะได้เนื้อความสมบูรณ์ ซึ่งแน่ละหากแยกกันอ่านคนละประโยค ประโยค Main Clause จะอ่านได้ ใจความสมบูรณ์ในตัวของมันเอง ส่วนประโยค Subordinate Clause จะอ่านไม่ได้ความหมายเลย ตัวอย่าง                 “Complex Sentence” เช่น
This is the house that I bought last year.
นี้คือบ้านที่ผมได้ซื้อไว้เมื่อปีที่แล้ว
ประโยคนี้แยกออกได้ 2 ประโยคคือ This is house เป็นประโยคหนึ่งคือ Main Clause และ that I bought last year เป็นอีกประโยคหนึ่งคือ Subordinate Clause เมื่อประโยคเล็กมารวมอยู่ในประโยคเดียวกันเช่นนี้ จึงทำให้ประโยคข้างบนนี้กลายเป็นประโยค Complex Sentence  คือ สังกรประโยค ตัวอย่างเช่น
The student who is diligent will pass the exam.
นักศึกษาผู้ซึ่งมีความขยัน จะสอบไล่ได้
 

นี่คือวิดีโอ เรื่อง Complex Sentence นะคะ


วันอาทิตย์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2555

ฝึกพูดภาษาอังกฤษด้วยตัวเองได้คร้า


วิธีฝึกพูดภาษาอังกฤษโดยไม่มีครูสอน
เราทุกคนรู้ว่าทุกภาษามีอยู่ 4 ทักษะ คือ ฟัง-พูด-อ่าน-เขียน และถ้าเป็นการเรียนภาษาแม่อย่างคนไทยเรียนภาษาไทย เราก็จะฝึกทั้ง 4 ทักษะไปพร้อม ๆ กัน คนไทยทุกคนจึงฟัง-พูด-อ่าน-เขียน ภาษาไทยได้แม้ว่าจะเก่งไม่เท่ากันก็ตาม
ปัญหาเกิดขึ้นเมื่อเราเรียนภาษาอื่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาษาอังกฤษที่เรากำลังพูดกันอยู่นี่แหละครับ ก็คือว่า ในแต่ละทักษะ ฟัง-พูด-อ่าน-เขียน นี้เราคนหนึ่ง ๆ นี้มีโอกาสฝึกแต่ละทักษะไม่เท่ากัน ไม่ว่าจะเป็นการฝึกในห้องเรียนหรือนอกห้องเรียน ผมขอยกตัวอย่างทีละคู่นะครับ
คู่ที่ 1 คือฝึกอ่านกับฟัง
อ่านกับฟังเป็น passive skill คือศึกษาได้โดยไม่ต้องมีคนอื่นประกบ ท่านเพียงมีหนังสือ 1 เล่ม หรือ CD 1 แผ่น แค่นี้ก็พอแล้วที่จะฝึกอ่านฝึกฟัง ที่ดียิ่งไปกว่านี้ก็คือ ท่านสามารถเช็คผลการอ่านหรือการฟังได้ด้วยตัวเองทันทีเลยว่า ท่านฝึกสำเร็จหรือไม่ คือถ้าอ่านหรือฟังรู้เรื่อง-เข้าใจ ก็ถือว่าสำเร็จ ง่าย ๆ แค่นี้เอง และการฝึกก็สะดวกมาก เพียงแค่พกติดตัวหนังสือเล่มนึง หรือเครื่องเล่น mp3 เครื่องหนึ่ง ก็สามารถฝึกอ่านฝึกฟังที่ไหนก็ได้ เมื่อไหร่ก็ได้ ด้วยสาเหตุนี้กระมังที่ผมได้รับคำถามน้อยมากเกี่ยวกับการอ่านและการฟัง เพราะทุกท่านสามารถฝึกเองได้อยู่แล้ว (ถ้าตั้งใจจะฝึก)
คู่ที่ 2 ฝึกการพูดและการเขียน
ผมได้รับคำถามเรื่องการพูด & เขียนมากกว่า การอ่าน & การฟัง ถ้าจะให้หาสาเหตุก็คงจะตรงกันข้ามกับคู่ที่ 1 คือ การพูดและการเขียนเป็น active skill โดยทั่วไปท่านต้องมี partner คือคนที่มาฟังท่านพูด และอ่านสิ่งที่ท่านเขียน และสำหรับคนไทยที่ฝึกภาษาอังกฤษ เราก็มักหวังในคน ๆ นั้นเป็น ครูยิ่งเป็น ครูฝรั่งยิ่งดี จะได้ช่วยสอนเราว่า ควรจะพูดยังไง เขียนยังไง และถ้าเราพูดผิด เขียนผิด ก็ช่วยแก้ไขให้ด้วย เราไม่แน่ใจในวิธีการฝึกพูดคนเดียว หรือเขียนลงสมุดเก็บไว้อ่านคนเดียว เพราะเราไม่แน่ใจว่า ถ้าต้องพูดกับคนจริง ๆ เขาจะฟังเราพูดรู้เรื่องหรือเปล่า หรือสิ่งที่เราเขียนถ้าคนอื่นอ่านมันจะตลกหรือเปล่า
เรื่องการ
พูดภาษาอังกฤษให้ได้ผลนี้ เราจะลืมเรื่องการอ่านและการฟังไม่ได้เด็ดขาด การอ่านทำให้เรารู้สำนวน และการฟังทำให้เรารู้สำเนียง ทั้งสำนวนและสำเนียงที่ค่อย ๆ สะสมไว้นี้จะเป็นพื้นฐานที่ดีมากเมื่อเราฝึกพูด การฝึกพูดที่จะเอาแต่พูด พูด พูดแต่ไม่สนใจเรื่องฝึกฟังและฝึกอ่าน ไปได้ไม่ไกลหรอกครับ และใน Blog นี้ก็แนะนำเว็บไซต์มากพอสมควรสำหรับฝึกอ่านและฝึกฟัง คลิกที่นี่ครับ รวมเว็บฝึกอ่าน *** รวมเว็บฝึกฟัง ***รวมเว็บดูวีดิโอ
 “
วิธีฝึกพูดภาษาอังกฤษโดยไม่มีครูสอนขอแนะดังนี้คะ
[1]. ใช้วิธี play – pause – repeat:คือการใช้เครื่องเล่น MP3 โดย 
play – pause – repeat เล่น-หยุด-พูดตาม เราฟังแล้วหยุดแล้วออกเสียงตาม
[2]. ใช้วิธี think – talk: คือฝึกพูดกับ partner ในจินตนาการ ให้เราคิดวางแผนว่า เราจะพูดรื่องอะไร มีเนื้อหาอย่างไร พูดกับใคร นานกี่นาที อาจจะเตรียมเขียนสิ่งที่จะพูดลงกระดาษไว้เลยก็ได้ พอถึงเวลาก็นั่งลง - จับเวลา และสร้างจินตนาการว่าคนที่เราพูดด้วย หรือคนที่เราจะพูดให้ฟังนั่งอยู่ข้างหน้า เราอาจจะ start ด้วยตั้งใจว่าจะต้องพูดให้ได้ครบ 5 นาที และก็ต้องทำให้ได้ ต่อไปอาจเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนถึง 10 นาที, ฝึกพูดช้า ๆ ชัด ๆ
หัวข้อการฝึกพูด[ต้องได้พูดถึงจะ พูดได้’]
[3]. ใช้วิธี English phone conversation: ท่านลองนัดแนะกับเพื่อนที่รู้ใจว่า จะช่วยกันพัฒนา conversation skill โดยการสนทนาภาษาอังกฤษทางโทรศัพท์ ทำไมต้องสนทนาทางโทรศัพท์ เพราะว่าคู่สนทนาจะได้พูดให้อีกฝ่ายหนึ่งรู้เรื่อง และขณะเดียวกันก็ต้องมีสมาธิเงี่ยหูฟังสิ่งที่อีกฝ่ายหนึ่งพูด จึงเป็นการฝึกทั้ง speaking และ listening skill โดยไม่ต้องอ่านภาษาหน้าหรือภาษาท่าท่าง การที่พูดกันต่อหน้าด้วยภาษาอังกฤษและเราเข้าใจ มันอาจจะเป็นความเข้าใจที่บวกกับการอ่านสีหน้าและท่าทาง แต่ถ้าคุยกันทางโทรศัพท์เราจะรู้ว่า เราพูดให้เพื่อนรู้เรื่องได้หรือเปล่า หรือเราสามารถฟังเพื่อนพูดรู้เรื่องหรือเปล่า ทั้งนี้เราอาจจะตกลงหัวข้อการพูดโดยเจาะจงไว้ก่อน ข้อสำคัญที่สุดของการฝึกวิธีนี้ก็คือ 1)ต้องพูดให้ครบตามเวลาที่ตกลงกันไว้ และ 2)ห้ามแทรกภาษาไทยระหว่างการพูดเด็ดขาด ยกเว้นชื่อเฉพาะ
[4]. รวบรวม stock sentence ที่ต้องใช้บ่อย: ถ้าท่านต้องพูดภาษาอังกฤษ แต่ประโยคที่ใช้พูดซ้ำ ๆ กันเป็นส่วนใหญ่ อย่างนี้ง่ายครับ ท่านก็พยายามรวบรวมประโยคเหล่านี้ไว้ให้หมด แปลเป็นภาษาไทย ฝึกพูดให้คล่อง ที่ลิงค์นี้มีตัวอย่างให้ท่านศึกษามากพอสมควร
[5]. สุดท้าย ร้องเพลงฝรั่ง: เรื่องนี้ผมแนะได้ แต่ทำเองไม่ได้ เพราะไม่ถนัดเอาจริง ๆ เลย แต่ผมเชื่อว่าวิธีฝึกพูดภาษาอังกฤษแบบนี้หลายคนใช้ได้ผล เลยเอามาเขียนพ่วงไว้
 ลองมาออกเสียงตามๆด้นะคะ


เป็นอย่างไรบ้างคะ ออกเสียงตามได้มั้ยคะ
ฟังบ่อยๆแล้วออกเสียงตามไปเรื่อยๆนะคะเราก็จะเก่งคร้า สู้ๆนะคะ

การใช้ Tense มีอยู่ 6 ข้อที่เขาใช้กันบ่อยๆในภาษาอังกฤษ  ดังนี้คือ

1. Past simple
ใช้กับเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีตและจบลงแล้ว (บอกเวลากว้างๆ เช่น in 1513 หรือ formerly เช่น คำ in the past,those days)
คำศัพท์ที่ตรงข้ามกับ past (คำที่เกิดในปัจจุบัน)
(Adj.) present, current, contemporary, on going etc.

2.Past continuous
ชี้เฉพาะว่าเกิดตอนไหนในอดีต เช่น last night at 8 o’clock…. คำอุทาน เช่น Look! , Listen! , at the moment, For the time being, right now, right away

3.เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นพร้อมกันในอดีต
Past Cont. , Past Cont.(while, As)

4. เหตุการณ์ดำเนินอยู่แล้วอีกเหตุการณ์หนึ่งมาเกิดแทรก
Past Cont. , Past sim (while, when ,…)
(เกิดอยู่)    , ( มาแทรก)

5.เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่พร้อมกันในอดีต
เกิดก่อน Past perfect , เกิดหลัง Past sim

6.เหตุการณ์เกิดขึ้นไม่พร้อมกันในอดีตที่มีความต่อเนื่องทางเวลา
เกิดก่อน Past perfect Cont. , เกิดหลัง Past simple


 ดูวิดีโอนี้เพิ่มเติมนะคะ ตอนที่ 1


ตอนที่ 2 



จบบริบรูณ์แล้วคะ 

เข้าใจมั้ยคร้าสงสัยฝากคำถามไว้ได้นะค ^_^

วันเสาร์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2555

Article หรือที่เราเรียกกันว่า a, an, the

Article หรือที่เราเรียกกันว่า a, an, the

1 Articles หมายถึง คำนำหน้านาม แบ่งเป็น 2 ชนิด คือ
1.1 “a” หรือ “an” เรียกว่า Indefinite Articles
1.2 “the” เรียกว่า Definite Articles
2. Indefinite Articles นำหน้านามเอกพจน์เท่านั้น ให้สังเกตคำนำหน้านามที่เป็น indefinite article ต่อไปนี้
a horse
an elephant
a car
an airplane
the Pacific
the air
จะสังเกตได้จากการใช้ a, an, the นั้น จะขึ้นอยู่การออกเสียงของคำ ซึ่งตามหลัง a, an หรือ นั้น มิใช่ขึ้นอยู่กับการสะกดคำ ดังนี้
a uniform (ไม่ใช้คำว่า an uniform) เพราะคำนี้อ่านออกเสียงตามพยัญชนะ คือ ยู
a one-eyed man (ไม่ใช้คำว่า an one eyed man) เพราะคำว่า one ออกเสียงด้วยพยัญชนะ ว
จึงอาจสรุปได้ดังนี้
1. a ใช้นำหน้านามเอกพจน์ที่ออกเสียงแรกด้วยพยัญชนะ ดังนี้
a shoe
a European
a car
a useful tool
a cow a ewe
a university
a union

2. ใช้ “an” นำหน้านามซึ่งตามหลังมา และนามนั้นออกเสียงเป็นเสียงสระ (เสียงสระคือเสียงที่เปล่งออกมาเป็นเสียง “ออ” เช่น an accident an hour
an egg
an honour
an orange
an honest man
an interesting book
an heir
an S. an M.A.

3. กฎของ Articles มี 3 ประการ คือ
1. ห้ามใช้ “the” กับนามพหูพจน์ และนามนับไม่ได้ เมื่อกล่าวถึงสิ่งต่างๆ โดยทั่วไปเช่น A church is usually cool
2. ห้ามใช้นามนับได้กับเอกพจน์ โดยไม่มี articles เช่น the book, a book แต่ไม่ใช่ book
3. ใช้ a หรือ an นำหน้าอาชีพ หรืองานบุคคล เช่น She is a doctor (ใช้ she is doctor) ไม่ได้
4. การใช้ articles
4.1 การใช้ indefinite articles (a/an)
1) ใช้ในความหมาย “หนึ่ง” หรือ “any” เช่น
He has a brother
2) ใช้ในการบอกหน่วยการวัด a, an มีความหมาย = ต่อ
He drove the car at 100 miles an hour
This Thai silk costs two hundred baht a yard
3) ใช้นำหน้า dozen, hundred, thousand, million, billion
I bought a dozen book
A hundred cows were in the field
4) ใช้นำหน้านามที่บอกอาชีพ การค้า ศาสนา เป็นต้น
She is a doctor
She is an official in the bank
She is a Buddhist
แต่ถ้านามนั้นบ่งถึงตำแหน่ง หรือสำนักงานซึ่งกำหนดให้ผู้ดำรงตำแหน่งมีเพียงครั้งละผู้เดียวไม่ต้องใช้ a/an
The made him Prime Minister
Kanittha was Professor of Development Education
ไม่ต้องใช้ a/an กับคำนามที่บอกยศ (rank หรือ title)
My friend gained the rank of Coronel
5). ใช้ a, an เมื่อเป็นการอ้างถึงบุคคลที่เรารู้จักแต่เพียงชื่อ
A Mr. Johnson telephoned you this morning
(ใช้ a แสดงว่าไม่ทราบว่าเขาเป็นใคร แต่เขาบอกว่าชื่อ Mr. Johnson
6) ใช้ a, an กับนามที่ซ่อนนามตัวหน้า (noun in apposition) เมื่อสิ่งนั้นหรือคนนั้นเป็นสิ่งที่ไม่คุ้นเคย
Sunthhornphoo is Thai poet
Daotho, a small village in Chiangmai
7). ใช้ a/an กับประโยคอุทานที่ขึ้นต้นด้วย What
What a beaufiful girl she is !
What an ugly man he is !
แต่ถ้าประโยคอุทานที่ขึ้นต้นด้วย what นั้น ตามด้วยนามนับไม่ได้ หรือนามพหูพจน์ไม่ต้องใช้ a/an นำหน้านาม
What + นามนับไม่ได้ + S+V
ตัวอย่าง “What lovely flowers they are!
8) ใช้ a/an กับวลีต่อไปนี้
ตัวอย่าง It’s a pity that she can’t come
He wants to keep this a secret
as a rule: to be in a hurry
to be in a good/bad temper
to tell a lie: all of a sudden
It’s a shame to do that : to take an interest in
to take a pride in: to take a dislike to
to make a fool of oneself : to be in a position to
to have a mind to
to have a chance : to have an opportunity to
at a discount/premium : on an average
a short time ago
นอกจากนี้ ยังใช้ a/an กับความเจ็บไข้ เช่น
To have a headache/ a pain/ a cold/ a cough
แต่ to have toothache/earache/rheumatism/influenza
9) ใช้กับโครงสร้างต่อไปนี้
such a : quite a: many a : rather a
Many a letter has passed my desk since last year
Mana is quite a good boy
He is rather a bad temper man
It’s such a nice day!
4.2 การใช้ Definite article (the)
ใช้ the นำหน้านามได้ที่ทั้งเป็นนามเอกพจน์ และพหูพจน์ และนามนับได้ หรือนามนับไม่ได้ โดยมีหลักเกณฑ์ดังนี้
1) ใช้ the นำหน้านามซึ่งมีความหมายเฉพาะ โดยดูจาก that clause
This is the book that I bought for you
2) ใช้ the ในความหมายมีสิ่งเดียว
The sun rises in the east and sets in the west
The world : the equator : the universe
3) ชื่อเรือต่างๆ รถไฟ เครื่องบิน
The Queen May : The Comet
4) ชื่อที่เกี่ยวกับอาณาบริเวณภูมิศาสตร์
เราใช้ the กับคำว่า country, sea, seaside และ mountain แม้ว่าเราจะไม่ได้ชี้เฉพาะว่าเป็นทะเลใด หรือภูเขาแห่งไหน
I like to live in the country
I love the mountain, but I hate the sea
5) ชื่อสถานที่ เรามักใช้ the กับชื่อสถานที่ต่อไปนี้
แม่น้ำ the Chaopraya
มหาสมุทร the Pacific
อ่าว the Gulf of Thailand
ทะเลทราย the Sahara
ภูมิภาค the Middle East, the Midwest
โรงแรม the Oriental Hotel
สถาบัน the Midland Bank
โรงละคร the Playhouse
ชื่อร้าน the Central Department Store
ทะเล the Red Sea
หมู่เกาะ the Philippines (เกาะเดียวไม่ใช้ the)
เทือกเขา the Himalayas (ภูเขาเดียวไม่ใช้ the)
โรงภาพยนตร์ the Lido
6. ใช้กับหนังสือต่างๆ เข่น The Thairath, The Bangkok Post
7. ใช้กับชื่อครอบครัว เช่น The Smiths
8. ใช้ the กับสิ่งที่ได้กล่าวถึงมาแล้วครั้งหนึ่ง (ถ้ากล่าวถึงครั้งแรกให้ใช้ a/an
9. ใช้ the นำหน้านามซึ่งขยายด้วยบุพบทวลี เฃ่น the battle of Tungchang, the map of Bangkok
10. ใช้ the กับลำดับที่ในตำแหน่ง เช่น Queen Elizabeth the Second
11. ใช้ the นำหน้า common noun (นามที่ใช้เรียกชื่อทั่วๆ ไป) ที่ตามด้วยชื่อเฉพาะ ซึ่งมาขยาย common noun เช่น the planet Mar. the poet Sunthornpoo
นอกจากนี้ คำนามที่บอกเกี่ยวกับอาชีพ หรือการค้า และอยู่หลังชื่อเฉพาะให้ใช้ the นำหน้า เช่น Tawee, the bankder, Suda, the Personal Manager
12. ใช้ the กับชื่อประเทศที่มีคำว่า Union, United อยู่ หรือขึ้นต้นด้วย Repulbic, Kingdom รวมทั้งชื่อประเทศที่เป็นพหูพจน์ เช่น The United Kingdom, the Netherlands
และในกรณี common noun ซึ่งตามหลังชื่อทางภูมิศาสตร์ได้ถูกละไว้ ให้ใช้ the + ชื่อทางภูมิศาสตร์ นั้น The Sahara (ละ desert)
13 ช้ the กับชื่อของเครื่องดนตรีที่ใช้ในความหมายทั่วๆ ไป เช่น Preeya plays the piano. Kalong plays the ranard
14 ใช้ the นำหน้าคำคุณศัพท์ขั้สุดที่ขยายนาม เช่น This is the oldest person
15 ใฃ้ the หน้าคุณศัพท์ที่ใช้เป็นคำนาม หมายถึงสิ่งนั้นทั้งหมด และเป็นพหูพจน์ เช่น the rich, the poor, the brave
16 ใช้ the ในสำนวนที่เป็นการเปรียบเทียบขั้นกว่า 2 จำนวน
The harder you work, the more you will be paid
The more he gets, the more he wants
4.3 การไม่ใช้ Article
1. นำคำนาม ซึ่งใช้ในความหมายทั่วๆ ไป เช่น Life is very hard for some people
2. หน้าคำนามประเภท material ในความหมายทั่วๆ ไป เช่น Butter is made from cream
3. หน้าคำนามพหูพจน์ในความหมายทั่วๆ ไป เช่น Books are my best friends
4. หน้าคำนามที่เป็นชื่อมื้ออาหารทั่วๆ ไป เช่น Come to dinner/ breakfast/ lunch/ tea
5. หน้าชื่อเฉพาะ I walked in Hyde Park, Do you know the Regent Street?
6. หน้าทะเลสาป (Lake) แหลม (Cape) ภูเขา (mount) ยกเว้นเมื่อคำเหล่านี้มีคำว่า of ตามหลัง เช่น the lake of Lucene, the Cape of good hope
7.หน้าชื่อตำแหน่งตามด้วยชื่อเฉพาะ เช่น King George, Doctor Amnuay
8. ชื่อภาษา และชื่อวิชาต่างๆ เช่น She speaks French
9. ชื่อ วิทยุและโทรทัศน์ในความหมายทั่วๆ ไป
10. ไม่ใช้ article กับ Man หรือ Woman
11 สำนวนต่างๆ ที่ละ article เช่น go to school to stay at home. To be out of doors. The men work by day but not by night. He is indebt/ in trouble. At any break/sunset He did the work for love, not for money

นี่เป็นเพลงประกอบการเรียนรู้คร้า


นี่คือวิดีโอ การใช้ a, an, the นะคะ







วันพุธที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2555

การใช้ Verb to be คร้า

วิธีใช้ Verb TO BE

บทนี้อธิบาย Verb TO BE ซึ่งใช้เป็นกริยาในตัวเอง และ เฉพาะเป็นกริยาในปัจจุบันกาล คือ present tense เท่านั้น

Verb- TO BE (present tense) คือ Am, Is, Are มีที่ใช้ดังนี้

1. ใช้เป็นกริยาของ Noun ที่หมายถึง คนหนึ่ง ตัวหนึ่ง หรือ สิ่งหนึ่ง ต้องใช้ Is เช่น

Dang is a boy. แดงเป็นเด็กดี

That boy is sick เด็กชายคนนั้น (เป็น) ป่วย

A rat is ni this box หนูตัวหนึ่ง

This egg is small ไข่ฟองนี้ (เป็น) เล็ก

2. ใช้เป็นกริยาของ Noun ที่หมายถึงจำนวนตั้งแต่สองขึ้นไป ต้องใช้ ARE เช่น

Those dogs are in the hut. สุนัขเหล่านั้นอยู่ในกระท่อม

These two ducks are big. เป็นสองตัว(เป็น)นี้ใหญ่

Those boys are rude. เด็กชายเหล่านั้น (เป็น) หยาบ

Five books are in that box. หนังสือห้าเล่ม อยู่ ในหีบนั้น

สำหรับ Pronouns ถ้าใช้ Verb To Be ต้องใช้ดังนี้

am ใช้กับ I คำเดียว

is ใช้กับ He, She, It

are ใช้กับ We, You, They

You ใช้กับ are เสมอ

Verb To Be เป็นกริยาชนิดที่ความหมายไม่สมบูรณ์ในตัว เช่น

Dang is แดงเป็น

We are เราเป็น

She is เขาอยู่

They are เขาทั้งหลายอยู่

เหล่านี้ล้วนไม่สมบูรณ์ จึงจำเป็นต้องมีคำประกอบให้ได้ความสมบูรณ์ คำประกอบกริยา To Be จะเป็น Noun หรือ Adjective หรือ คำอื่นหลายคำก็ได้ เช่น

Dang is a good boy. แดงเป็นเด็กดี

We are brave. เรากล้า

She is on the mat. เขาอยู่บนเสื่่อ

They are in the hut. เขาอยู่ในกระท่อม

ในภาษาไทย เราพูดเพียงว่า "เขาดี" "เรากล้า" ก็ใช้ได้ แต่ในภาษาอังกฤษต้องพูดให้เป็นประโยคสมบูรณ์ คือต้องมี Subject และ Verb ฉะน้้นอังกฤษจึงเขียนว่า เขาเป็นดี He is good และ เราเป็นกล้า We are brave เป็นต้น
h